น.สพ.ภาคภูมิ เกียรติจานนท์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิชาการ บริษัท เวท อะกริเทค จำกัด
ยาฆ่าเชื้อกลุ่มไหน จัดการ ASF ได้อยู่หมัด
โรคอหิวาห์สุกรแอฟริกา (African Swine Fever) ยังคงเป็นประเด็นร้อนในวงการการเลี้ยงสุกรภายในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงภายในประเทศไทยเราเอง ที่แม้ว่าจะไม่มีการประกาศการแพร่ระบาดของโรคอย่างเป็นทางการ แต่ในภาคสนามก็มีรายงานความเสียหายกระจายไปในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่าโรคนี้ยังคงไม่มีวัคซีนและยาที่สามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สิ่งที่เกษตรกรสามารถทำได้เพียงอย่างเดียว คือ การตั้งรับอย่างมีระบบและตั้งการ์ดให้สูงตลอด จนกว่าสถานการณ์การระบาดจะดีขึ้น
สิ่งหนึ่งที่เกษตรกรส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ คือ การจัดการระบบป้องกันทางชีวภาพ (biosecurity) ซึ่งหนึ่งในหลายปัจจัยที่จะช่วยให้ระบบดังกล่าวสามารถทำงานได้อย่างดี คือ การเลือกใช้ยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพ มีการทดลองว่าสามารถฆ่าเชื้อไวรัสอหิวาห์สุกรแอฟริกา (ASFv) ได้จริง โดยในบทความนี้จะช่วยหาคำตอบและค้นหายาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพประกอบการตัดสินใจเลือกยาฆ่าเชื้อมาใช้ในฟาร์ม
ในการทดสอบประสิทธิภาพของยาฆ่าเชื้อ ค่าที่ใช้ในการประเมิน คือ ค่าล็อก (log) ของปริมาณเชื้อที่ลดลงหลังจากสิ้นสุดการทดลอง โดยยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพ จะต้องมีค่าอย่างน้อย 4-log10 ซึ่งหมายความว่า สามารถฆ่าเชื้อได้ 99.99% ดังรูปภาพที่ 1
จากรายงานการวิจัยในปี 2020 ที่ผ่านมา ในประเทศโปแลนด์ ได้มีการทดสอบยาฆ่าเชื้อทั้งสิ้น 8 ชนิด ซึ่งเป็นยาฆ่าเชื้อที่คุ้นชื่อกันเป็นอย่างดี ได้แก่
รูปภาพที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างค่า log และประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อ โดยค่า log ยิ่งมาก ประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อจะยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย
คณะวิจัยได้เลือกเชื้อไวรัสสเตรน BA71V ซึ่งได้รับจากห้องปฏิบัติการอ้างอิงของกลุ่มสหภาพยุโรป (the European Union Refence Laboratory) ประเทศสเปน ทำการทดสอบในน้ำกระด้าง และแบ่งกลุ่มของสารละลายออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
ทั้ง 2 กลุ่มสารละลาย มีปริมาณไวรัสตั้งต้นอยู่ที่ 106.5 TCID50/ml มีระยะเวลาการสัมผัสเชื้อ (contact time) 30 นาที และทำการทดสอบที่อุณหภูมิ 10°C
ผลการทดสอบ
ในการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อ จะใช้ค่า log ในการตัดสิน และยาฆ่าเชื้อที่สามารถฆ่าเชื้อไวรัส (virucidal) ได้ จะต้องมีค่า log ≥ 4 ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ค่า log ที่ลดลงของปริมาณเชื้อไวรัสอหิวาห์สุกรแอฟริกา (ASFv)
ชนิดยาฆ่าเชื้อ |
ความเข้มข้น ที่ทดสอบ (%) |
ค่า log ที่ลดลง |
ฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไวรัส |
||
ขุ่นน้อย |
ขุ่นมาก |
ขุ่นน้อย |
ขุ่นมาก |
||
โซเดียม ไฮโปคลอไรต์ (15% คลอรีน) |
1.5 1.0 0.3 |
5.30 5.30 5.30 |
4.58 5.58 4.17 |
+ + + |
+ + - |
โซดาไฟ
|
3.0 2.0 1.0 |
4.67* 4.91 4.83 |
4.67* 5.17 4.17 |
n.a. + + |
+ + - |
โพแทสเซียม เพอร์ออกซีโมโนซัลเฟต |
2.0 1.0 0.5 |
3.75* 4.75 4.75 |
4.17* 5.17 5.17 |
n.a. + + |
n.a. + + |
ฟีนอล |
2.0 1.0 0.5 |
3.42* 4.42 0.08 |
3.75* 4.75 0.08 |
n.a. + - |
n.a. + - |
กรดอะเซติค |
3.0 2.0 1.0 |
4.33 4.33 3.92 |
5.00 3.00 1.42 |
+ + n.a. |
+ - - |
กลูเตอราลดีไฮด์ |
1.0 0.5 0.1 |
4.33 4.33 4.33 |
4.00* 4.00* 5.00 |
+ + n.a. |
+ + + |
ฟอร์มาลดีไฮด์ |
1.6 0.8 0.4 |
2.08* 1.83* 2.83* |
1.67* 2.50* 2.67* |
n.a. n.a. n.a. |
n.a. n.a. n.a. |
เบนซาลโคเนียม คลอไรด์ |
2.0 1.0 0.5 |
2.25* 4.25 4.08 |
2.67* 3.75* 3.75* |
n.a. + - |
n.a. n.a. n.a. |
*เป็นพิษต่อเซลล์ทดสอบ + สามารถฆ่าได้ - ไม่สามารถฆ่าได้ n.a. ไม่สามารถตรวจได้เนื่องจากเป็นพิษต่อเซลล์ทดสอบ
ในการทดสอบครั้งนี้ พบว่ามียาฆ่าเชื้ออยู่ 4 ชนิดที่มีความเป็นพิษต่อเซลล์ทดสอบสูง ได้แก่ ฟอร์มาลดีไฮด์, กลูเตอราลดีไฮด์, เบนซาลโคเนียม คลอไรด์ และกรดอะเซติค และพบว่าสภาพความขุ่นของสารละลายมีผลลดประสิทธิภาพของยาฆ่าเชื้ออย่างเห็นได้ชัด โดยพบว่าค่า log จะลดลงในสภาพที่มีความขุ่นสูง มีเพียงโพแทสเซียม เพอร์ออกซีโมโนซัลเฟต ที่ความขุ่นไม่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน
จากข้อมูลการทดสอบข้างต้น สามารถเรียงลำดับประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อไวรัสจากมากไปน้อย โดยวัดจากค่า log ได้ ดังนี้ 1) โซเดียม ไฮโปคลอไรต์ 2) โซดาไฟ 3) โพแทสเซียม เพอร์ออกซีโมโนซัลเฟต 4) ฟีนอล 5) กรดอะเซติค 6) กลูเตอราลดีไฮด์ 7) ฟอร์มาลดีไฮด์ 8) เบนซาลโคเนียม คลอไรด์ โดยความเข้มข้นของยาฆ่าเชื้อแต่ละชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด สามารถดูได้จากกราฟที่ 1 และ 2
กราฟที่ 1 ความเข้มข้นของยาฆ่าเชื้อแต่ละชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในสภาพที่สารละลายมีความขุ่นน้อย เรียงลำดับจากมากไปน้อย
กราฟที่ 2 ความเข้มข้นของยาฆ่าเชื้อแต่ละชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในสภาพที่สารละลายมีความขุ่นมากเรียงลำดับจากมากไปน้อย
นอกจากนี้ สิ่งที่ได้จากการทดสอบครั้งนี้ พบว่าเชื้อไวรัสตั้งต้นมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นในสภาพที่มีความขุ่นจากสารอินทรีย์ที่มาก หมายความว่าเชื้อไวรัสสามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ดีขึ้นในสภาพที่มีสารอินทรีย์สูง
จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น พบว่ายาฆ่าเชื้อแต่ละชนิดมีประสิทธิภาพต่างกันในการทำลายเชื้อไวรัสชนิดนี้ การฉีดล้างด้วยน้ำสะอาด การทำความสะอาดก่อนด้วยสารซักล้าง เช่นผงซักฟอก ก่อนฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อให้ดีขึ้นได้ และอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่หลายคนมักจะมองข้าม คือ ระยะเวลาการสัมผัสเชื้อ ซึ่งหมายถึงระยะเวลาที่ยาฆ่าเชื้อสัมผัสกับเชื้อโดยพ้น หรือหมายถึงระยะเวลาที่เราต้องฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ ซึ่งในการทดลอครั้งนี้ มีระยะเวลาการสัมผัสเชื้อ 30 นาที ถ้าจะนำข้อมูลจากงานวิจัยนี้ไปใช้ในภาคสนาม ก็ต้องทำการฉีดพ่นรถยนต์หรือโรงเรือนให้เปียกติดต่อกัน 30 นาที ไม่ใช่ฉีดพ่นให้เปียกแล้วจอดหรือพักไว้ 30 นาทีเหมือนที่หลายคนปฏิบัติอยู่
โดยสรุป บทความนี้เป็นเพียงแนวทางในการเลือกยาฆ่าเชื้อมาใช้ภายในฟาร์ม ซึ่งในทางปฏิบัติจริง สิ่งหนึ่งที่เกษตรกรต้องขอจากคุณหมอที่มาขายยาฆ่าเชื้อ คือ ผลการทดสอบอย่างเป็นทางการ จากห้องปฏิบัติการมาตรฐาน ที่ระบุถึงความเข้มข้นที่แนะนำ และระยะเวลาการสัมผัสเชื้อ ถึงจะได้ยาฆ่าเชื้อมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัย
เอกสารอ้างอิง
Juszkiewicz, M., Walczak, M., Mazur-Panasiuk, N, and Wozniakowski, G. 2020. Effectiveness of chemical compounds used against African swine fever virus in commercial available disinfectants. Pathogens. 9:878.
16 กรกฎาคม 2564
ผู้ชม 2125 ครั้ง